บทที่ 1 ทำไมต้องทำวิจัย
ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนใช้ความคิด เพื่อหาทางเลือกต่างๆ และใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ เป็นประจำ ถ้าในชีวิตเรา ทำงานหรือกิจกรรมราบรื่น ไม่ติดขึด เราคงไม่ต้องทำวิจัยใดๆ เลย เช่น ผมขับรถไปส่งลูกไปโรงเรียนในตอนเช้า ทุกวันก็ขับรถเส้นทางเดิม ไม่ติดขัด ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ถึงโรงเรียน อยู่มาช่วงหลังๆ พบว่า รถติดมากขึ้น ใช้เวลาถึง 30-40 นาทีกว่าจะถึง โรงเรียน ดังนั้นผมจึงเริ่มศึกษาว่า ผมจะขับรถไปเส้นทางไหน จึงจะใช้เวลาน้อยที่สุด และรถติดน้อยที่สด ทำอยู่หลายวัน ก็ได้เส้นทางที่ดี วันจันทร์และศุกร์ต้องใช้เส้นทางที่ 1 วันอื่นๆ ใช้เส้นทางที่ 2 หรือ 3 เป็นต้น ถ้าทุกวันก่อนหน้านั้นผมขับรถได้ 10 นาที ผมคงไม่ต้องทำการศึกษาเส้นทางอื่นๆ
ในการทำงานก็เช่นกัน ถ้าเราทำงานราบรื่น ไม่ติดขัด เราคงไม่ต้องทำวิจัยหรือศึกษาอื่น ๆ สรุปได้ว่า เราจะทำการศึกษา เพราะ
- ปัญหาจากการทำงาน ผลงานไม่ได้ตามเป้าหมาย หรือ ทำงานแล้วติดขัด หรือ ไม่ราบรื่น
- การเกิดความผิดพลาด เกิดข้อร้องเรียน หรือ ความไม่พึงพอใจของผู้รับบริการ
- ความรู้ที่เราได้หรือมี ไม่ตรงกับของคนอื่น หรือไม่ตรงกับตำรา
- มีปรากฎการณ์เกิดขึ้นที่ไม่เคยเกิดมาก่อน เช่น COVID-19 ยาตัวใหม่
- การรักษาผู้ป่วยไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร หรือเกิดอาการป่วยซ้ำ หาปัจจัยเสี่ยง
- ความอยากรู้ อยากเห็นความสนใจ พิเศษ
การวิจัย หมายถึง กระบวนการค้นคว้าหาความรู้อย่างมีระบบ เพื่อตอบประเด็นที่สงสัย โดยมีระเบียบวิธีอันเป็นที่ยอมรับในศาสตร์แต่ละศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง (คณะทำงานยกร่างจรรยาบรรณนักวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ , 2554)
อย่างไรก็ตาม บางครั้งปัญหาก็ไม่จำเป็นต้องทำวิจัยเสมอไป เช่น เมื่อเกิดปัญหาแล้วเราทบทวนความรู้ ทฤษฎีต่าง ๆ อาจพบคำตอบของปัญหาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำการวิจัยแต่อย่างใด
ในทางการแพทย์และ สาธารณสุข เราสามารถแบ่งเป็น
- การวิจัยสาธารณสุข (public Health research) หมายถึงการศึกษาค้นคว้า หาความรู้ วิธีการ เทคโนโลยีใหม่ เหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการป้องกัน รักษาโรค และแก้ปัญหาต่างๆ ในการปฏิบัติงานสาธารณสุข การวิจัยส่วนนี้จะกว้าง ครอบคลุมถึงการบริหารงานด้านสาธารณสุข การรักษา การส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค และการฟื้นฟูสภาพด้วย
- การวิจัยทางคลินิก (Clinical research) หมายถึง การศึกษาค้นคว้าที่มีแบบแผน ในเรื่องของการวินิจฉัยโรค (Diagnosis) สาเหตุและปัจจัยโรค (Etiognosis) การพยากรณ์โรค (Prognosis) การรักษา (Therapeutic) [DEPTh Model]
- การวิจัยด้านนโยบาย (Policy research) จะศึกษาด้านการปฏิรูประบบสุขภาพ การประกันสุขภาพ การพัฒนามาตรฐานของโรงพยาบาล เป็นต้น
- การวิจัยระบบสาธารณสุข (Health care systems research) จะศึกษาเกี่ยวกับ ระบบโครงสร้างสาธารณสุข ระบบบุคลากร การเงิน การใช้เทคโนโลยี รวมถึงระบบอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านด้วย
ถ้าเราแบ่งงานวิจัยตาม ระเบียบวิจัย เราสามารถแบ่งเป๋น
- การวิจัยเชิงสังเกต (Observational Research) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยผู้วิจัยเป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกต ไม่มีกิจกรรม หัตถการหรือเข้าไปแทรกแซงประชากรและกลุ่มที่ศึกษา
- การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้น เฝ้าดู สังเกตหาความเกี่ยวเนื่องของข้อมูล เช่น “การสำรวจสภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ ในอำเภอ เขวาสินรินทร์” “ความพึงพอใจต่อการบริการของผู้รับบริการคลินิกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาล เขวาสินรินทร์” ฯลฯ นอกจากนี้การวิจัยแบบนี้จะสามารถความเกี่ยวเนื่องกันหรือแนวโน้ม พัฒนาการของเหตุการณ์จากอดีตถึงปัจจุบันและคาดการณ์ไปถึงอนาคตได้ หรือการศึกษากรณีเฉพาะหลายๆครั้ง (Case series) เพื่อหาความรู้ให้แน่นหนักมากขึ้น
- การวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytic Research) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ของกลุ่มสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่มีปัจจัยและกลุ่มที่ไม่มีปัจจัย (ปัจจัยเป็นสิ่งที่เกิดเอง ไม่ใช่เราไปทำให้เกิด) นำผลที่เกิดขึ้นมาเปรียบเทียบ พิสูจน์ข้อเท็จจริง พิสูจน์สมมติฐานที่เราสงสัย โดยใช้การคำนวณทางหลักสถิติ เช่น “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการติดเกมของนักเรียนมัธยมศึกษา อ.ชุมพล-บุรี” “ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการมาฝากครรภ์ล่าช้าในหญิงตั้งครรภ์ อ.เขวาสินรินทร์”
- การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ของกลุ่มสองกลุ่ม โดยจัดกิจกรรมหรือควบคุมภาวะบางอย่าง แล้วดูผลที่เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงหลังจากใส่กิจกรรมนั้นๆ และเปรียบเทียบความแตกต่างตามหลักสถิติ เช่น “การศึกษาผลการให้จิตบำบัดในผู้ป่วยจิตเภท เพื่อจัดการกิจวัตรประจำวัน” “ผลการใส่ทรายทีมีฟอส ต่อจำนวนยุงลายในหมู่บ้านสดอ อำเภอเขวาสินรินทร์” เป็นต้น
- การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) จะเป็นการทดลองและควบคุมตัวแปรที่จะมีผลทั้งหมด ทั้งตัวอย่างและสภาพแวดล้อม
- การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) เป็นการทดลองที่ไม่สามารถควบคุมสภาวะแวดล้อมได้ทั้งหมด จึงจัดการตัวแปรที่คุมไม่ได้ด้วยการสุ่มตัวอย่าง (Randomization) ให้กลุ่มตัวอย่างคล้ายกันมากที่สุด
ถ้าเราแบ่งงานวิจัยตามตัวแปรที่ใช้ศึกษา เราสามาถแบ่งเป็น
- การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการวิจัยที่ข้อมูลเป็นตัวเลขที่วัดได้ สามารถนำมาวิเคราะห์ทางสถิติ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
- การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เป็นการวิจัยที่ข้อมูลเป็นเชิงคุณภาพ คุณลักษณะ ที่ไม่สามารถนับเป็นตัวเลขได้ เช่น ความรู้ ทัศนคติ ต้องใช้วิธีสังเกต บันทึก ตีความ สร้างข้อสรุป เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาด้านมานุษยวิทยา ด้านสังคมศาสตร์ หรือด้านการศึกษา
ลักษณะของการวิจัยที่ดี
- ปัญหาหรือข้อสงสัยที่จะทำวิจัย ต้องชัดเจน น่าสนใจ มีประโยชน์ที่จะนำไปใช้ (ไม่ใช่เพียงตอบสนองความอยากรู้ ความสนใจ) หรือทำซ้ำเพื่อให้มีงานวิจัยเท่านั้น
- ต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา หรือหาความเป็นจริงที่สนับสนุน เพื่อประโยชน์ในการอธิบาย ควบคุมตัวแปร เปรียบเทียบ ทำนายและอ้างอิง
- ต้องทำการศึกษาเพิ่มเติม ทบทวนให้กว้างขวาง หลายมุมมอง (ในปัญหาและวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษา)
- กระบวนการวิจัยต้องมีระบบแบบแผนชัดเจน (Research Methodology) มีความถูกต้อง เหมาะสม กับข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
- มีการเตรียมงาน คน อุปกรณ์ที่ครบถ้วน รวมถึงการสอบเทียบเครื่องมือ การเตรียมทีมงานให้เป็นไปในทางเดียวกัน
- การดำเนินการศึกษาต้องมีความรอบคอบ ละเอียด มีเหตุผล กระบวนการการวัด การสังเกต การสอบถามต้องมีความตรง ไม่ลำเอียง
- การบันทึกข้อมูลต้องรอบคอบ ละเอียด
- วิเคราะห์ข้อมูล โดยเลือกใช้สถิติที่ถูกต้องเหมาะสม
- อภิปรายและรายงานผลอย่างระมัดระวัง
ลักษณะของนักวิจัยที่ดี
- นักวิจัยต้องมีความอยากรู้ อยากเห็น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- นักวิจัยต้องมีความรู้พื้นฐานในสาขาที่ทำวิจัยหรือเรื่องที่ทำวิจัยเป็นอย่างดี
- ก่อนที่นักวิจัยจะเก็บข้อมูลจากบุคคล หน่วยงาน หรือสถาบันใด ๆ จะ ต้องมีการติดต่อขออนุญาตล่วงหน้า และลงมือเก็บรวบรวมข้อมูลหลังจากที่ได้รับอนุญาตแล้ว
- นักวิจัยจะต้องไม่กระทำการใดๆ ในลักษณะของการบังคับจิตใจหรือ ฝืนความรู้สึกของผู้ให้ข้อมูล และทำการวิจัยในลักษณะทดลองจะต้องได้รับการยินยอมจากผู้เข้ารับการทดลอง
- นักวิจัยที่ดีต้องเก็บข้อมูลด้วยความระมัดระวัง ตรงไปตรงมา ไม่ตีความข้อมูลเอง บันทึกข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ไม่แก้ไข ปรับเปลี่ยนข้อมูล
- นักวิจัยที่ดีต้องเก็บข้อมูลที่ได้ โดยเฉพาะข้อมูลพื้นฐานเป็นความลับ
- นักวิจัยต้องวิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาจะต้องไม่มีการบิดเบือนปิดบัง ตกแต่ง หรือกำหนดตัวเลขค่าสถิติ ขึ้นเองโดยไม่มีการเก็บข้อมูลต่างๆ มาจริง
- นักวิจัยจะต้องรายงานผลการวิจัยอย่างตรงไปตรงมาใช้ภาษาที่ผู้อ่านเข้าใจความหมายได้ถูกต้องชัดเจน ไม่ปิดบังซ่อนเร้นหรือเขียนรายงานการวิจัยให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลกลุ่มใดๆ โดยไม่มีผลการวิจัยที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน
- ในการรายงานผลการวิจัย นักวิจัยที่ดีจะรายงานผลการวิเคราะห์ในลักษณะของผลรวมทั้งหมด โดยไม่นำเอาข้อมูลเฉพาะบุคคลมาเปิดเผยหรือกล่าวอ้างชื่อของบุคคลที่ให้ข้อมูล
- กรณีที่นักวิจัยต้องการนำข้อความรู้ความคิดเห็นหรือข้อค้นพบของบุคคล อื่นมาใช้ประโยชน์ จะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความรู้หรือบุคคลที่เป็นผู้ค้นพบข้อความรู้นั้นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณา แนะนำ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ ครับ ขอบคุณ