บทที่ 5 สมมุติฐานในการวิจัย
(Research hypothesis)
สมมติฐานในการวิจัย คือ ข้อความที่คาดคะเนคำตอบของงานวิจัยไว้ล่วงหน้า เป็นการคาดเดาว่าผลการวิจัยของปัญหานั้นๆจะออกมาในลักษณะใด อาจเป็นการคาดคะเนข้อสรุปที่ยังไม่คงที่ แต่อาจมีความจริง หรือคาดคะเนสถานการณ์บางอย่างที่มีความสัมพันธ์กัน การที่จะคาดเดาคำตอบได้ดีนั้นจะต้องมีเหตุผล และใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบ เพื่อจะเป็นแนวทางในการดำเนินการตามกระบวนการวิจัยขั้นต่อไป การทำวิจัยเรื่องหนึ่ง ๆ จะมีสมมติฐานหรือไม่ขึ้นกับระเบียบวิธีวิจัย ถ้ามีสามารถตั้งได้อย่างน้อยหนึ่ง สมมติฐานหรืออาจมากกว่าหนึ่งได้ การวิจัยที่มีสมมติฐานมักเป็นการวิจัยที่ที่อยู่ในลักษณะที่เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือเป็นการวิจัยที่อยู่ในลักษณะที่เป็นการเปรียบเทียบ
ความสำคัญของสมมุติฐาน
1. ช่วยชี้แนะแนวทางในการศึกษาค้นคว้าโดยจะชี้ให้ทราบว่าจะค้นคว้าข้อมูลอะไร
2. ช่วยในการวางแผนรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การวิจัยมีจุดมุ่งหมายแน่นอนโดยเน้นในจุดใดจุดหนึ่งแทนที่จะรวบรวมข้อมูลโดยปราศจากจุดมุ่งหมาย
3. เป็นเครื่องเชื่อมโยงกับทฤษฎี สมมุติฐานบางประเภทได้มาจากทฤษฎีโดยการอนุมานสมมุติฐานที่ทดสอบว่าถูกต้องแล้วจะกลายเป็นทฤษฎีต่อไป
4. เป็นเครื่องมือก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ หน้าที่ของสมมุติฐานคือขยายขอบเขตของความรู้ที่พิสูจน์แล้วให้กว้างขวางออกไป
1. ช่วยชี้แนะแนวทางในการศึกษาค้นคว้าโดยจะชี้ให้ทราบว่าจะค้นคว้าข้อมูลอะไร
2. ช่วยในการวางแผนรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การวิจัยมีจุดมุ่งหมายแน่นอนโดยเน้นในจุดใดจุดหนึ่งแทนที่จะรวบรวมข้อมูลโดยปราศจากจุดมุ่งหมาย
3. เป็นเครื่องเชื่อมโยงกับทฤษฎี สมมุติฐานบางประเภทได้มาจากทฤษฎีโดยการอนุมานสมมุติฐานที่ทดสอบว่าถูกต้องแล้วจะกลายเป็นทฤษฎีต่อไป
4. เป็นเครื่องมือก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ หน้าที่ของสมมุติฐานคือขยายขอบเขตของความรู้ที่พิสูจน์แล้วให้กว้างขวางออกไป
ลักษณะของสมมติฐานที่ดี
1. ต้องระบุความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษาคาดหมายล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้น โดยอยู่ในรูป "แตกต่างกัน" "มากกว่า" "น้อยกว่า" "สัมพันธ์กัน" "ขึ้นอยู่กับ" เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ที่กล่าวถึงต้องสามารถทดสอบได้ทางสถิติ นั้นคือตัวแปรที่ศึกษาต้องวัดไว้ สังเกตได้ และความสัมพันธ์นั้นวิเคราะห์ได้ด้วยวิธีทางสถิติ
3. ความสัมพันธ์ที่กล่าวถึงมีเหตุผล เหมาะสม สอดคล้องกับผลการวิจัยและทฤษฎีที่นำมาเป็นกรอบ
4. ประโยคที่เป็นสมมติฐานต้องแสดงความเป็นเหตุเป็นผลที่เหมาะสม น่าเชื่อถือได้
1. ต้องระบุความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษาคาดหมายล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้น โดยอยู่ในรูป "แตกต่างกัน" "มากกว่า" "น้อยกว่า" "สัมพันธ์กัน" "ขึ้นอยู่กับ" เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ที่กล่าวถึงต้องสามารถทดสอบได้ทางสถิติ นั้นคือตัวแปรที่ศึกษาต้องวัดไว้ สังเกตได้ และความสัมพันธ์นั้นวิเคราะห์ได้ด้วยวิธีทางสถิติ
3. ความสัมพันธ์ที่กล่าวถึงมีเหตุผล เหมาะสม สอดคล้องกับผลการวิจัยและทฤษฎีที่นำมาเป็นกรอบ
4. ประโยคที่เป็นสมมติฐานต้องแสดงความเป็นเหตุเป็นผลที่เหมาะสม น่าเชื่อถือได้
ประเภทของสมมุติฐาน
1. สมมติฐานการวิจัย (Research Hypothesis) เป็นการคาดคะเนผลการวิจัยที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรือระหว่างตัวแปรกับเกณฑ์ ที่สมมติฐานควรจะสอดคล้องกับข้อสรุปที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น “เพศมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพ” “ผู้ป่วยเอดส์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังเข้ากลุ่มบำบัด”
- สมมติฐานทางการวิจัยมีแบบมีทิศทาง ( Directional hypothesis ) เป็นสมมติฐานที่เขียนระบุอย่างชัดเจนถึงทิศทางของความแตกต่างถึงทิศทางของความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยมีคำว่า “ ดีกว่า ” หรือ “ สูงกว่า ” หรือ “ ต่ำกว่า ” หรือ “ น้อยกว่า” ในสมมติฐานนั้นๆ “พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นอยู่ในระดับดี” “รายได้มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ”
- สมมติฐานทางการวิจัยไม่มีแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่าง หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ ดังตัวอย่าง “เพศมีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจ” “ปัจจัยด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิต”
2. สมมติฐานทางสถิติ (Statistic Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้ทดสอบว่า สมมติฐานทางการวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งไว้เป็นจริงหรือไม่ เป็นสมมติฐานที่เขียนอยู่ในรูปแบบของโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้อยู่ในรูปที่สามารถทดสอบได้ด้วยวิธีการทางสถิติ สัญลักษณ์ที่ใช้เขียนในสมมติฐานทางสถิติจะเป็นพารามิเตอร์เสมอ ที่พบบ่อยๆได้แก่
μ ( อ่านว่า มิว) แทนตัวกลางเลขคณิตหรือค่าเฉลี่ยของกลุ่มประชากร
σ ( อ่านว่า ซิกมา ) แทนความเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มประชากร
ρ ( อ่านว่า โร ) แทนสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
1. สมมติฐานการวิจัย (Research Hypothesis) เป็นการคาดคะเนผลการวิจัยที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรือระหว่างตัวแปรกับเกณฑ์ ที่สมมติฐานควรจะสอดคล้องกับข้อสรุปที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น “เพศมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพ” “ผู้ป่วยเอดส์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังเข้ากลุ่มบำบัด”
- สมมติฐานทางการวิจัยมีแบบมีทิศทาง ( Directional hypothesis ) เป็นสมมติฐานที่เขียนระบุอย่างชัดเจนถึงทิศทางของความแตกต่างถึงทิศทางของความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยมีคำว่า “ ดีกว่า ” หรือ “ สูงกว่า ” หรือ “ ต่ำกว่า ” หรือ “ น้อยกว่า” ในสมมติฐานนั้นๆ “พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นอยู่ในระดับดี” “รายได้มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ”
- สมมติฐานทางการวิจัยไม่มีแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่าง หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ ดังตัวอย่าง “เพศมีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจ” “ปัจจัยด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิต”
2. สมมติฐานทางสถิติ (Statistic Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้ทดสอบว่า สมมติฐานทางการวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งไว้เป็นจริงหรือไม่ เป็นสมมติฐานที่เขียนอยู่ในรูปแบบของโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้อยู่ในรูปที่สามารถทดสอบได้ด้วยวิธีการทางสถิติ สัญลักษณ์ที่ใช้เขียนในสมมติฐานทางสถิติจะเป็นพารามิเตอร์เสมอ ที่พบบ่อยๆได้แก่
μ ( อ่านว่า มิว) แทนตัวกลางเลขคณิตหรือค่าเฉลี่ยของกลุ่มประชากร
σ ( อ่านว่า ซิกมา ) แทนความเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มประชากร
ρ ( อ่านว่า โร ) แทนสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
สมมติฐานทางสถิติ มี 2 ชนิดคือ
2.1 สมมติฐานที่เป็นกลางหรือไร้นัยสำคัญ (Null hypothesis) ใช้สัญลักษณ์ คือ H0
2.2 สมมติฐานอื่น (Alternative hypothesis) ใช้สัญลักษณ์ คือ H1
2.1 สมมติฐานที่เป็นกลางหรือไร้นัยสำคัญ (Null hypothesis) ใช้สัญลักษณ์ คือ H0
2.2 สมมติฐานอื่น (Alternative hypothesis) ใช้สัญลักษณ์ คือ H1
ตัวอย่างการกำหนดสมมุติฐานทางสถิติ
1. ผู้ป่วย stroke ที่ญาติทำกายภาพให้ทุกวัน μ1 มีค่าคะแนน ADL สูงกว่า ผู้ป่วย stroke ที่ญาติไม่ได้ทำกายภาพทุกวัน μ2 (มีทิศทาง)
1. ผู้ป่วย stroke ที่ญาติทำกายภาพให้ทุกวัน μ1 มีค่าคะแนน ADL สูงกว่า ผู้ป่วย stroke ที่ญาติไม่ได้ทำกายภาพทุกวัน μ2 (มีทิศทาง)
H0 : μ1 < μ2
H1 : μ1 > μ2
2. รายได้ของประชากรไม่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตร (ไม่มีทิศทาง)
H0 : รายได้ของประชากร ไม่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตร หรือ ρ = 0
H0 : รายได้ของประชากร ไม่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตร หรือ ρ = 0
H1 : รายได้ของประชากร มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตร หรือ ρ ≠ 0
หลักการเขียนสมมติฐานการวิจัย
1. ควรเขียนสมมติฐานหลังจากที่ได้อ่านตำรา เอกสารที่เกี่ยวข้องสมบูรณ์แล้ว เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสนับสนุนการตั้ง และเป็นแนวทางสำหรับการตั้งสมมติฐานการวิจัย
2. ต้องสามารถกำหนดตัวแปร และตัวแปรต้องสามารถนำมาพิสูจน์ได้ทางสถิติ
3. ต้องสอดรับกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
4. ควรเขียนในรูปของประโยคบอกเล่าดีกว่าประโยคคำถาม ควรมีคำที่แสดงความคาดหวังในประโยค เช่น น่าจะ เพราะสมมติฐานยังไม่เป็นความจริง ยังต้องรอการพิสูจน์จากงานวิจัยเสียก่อน
5. สมมติฐานที่เขียนขึ้นอาจมีทิศทางหรือไม่มีทิศทางก็ได้ขึ้นอยู่กับการทบทวนเอกสาร เช่น
6. ควรเขียนสมมติฐานไว้หลายๆสมมติฐาน โดยพิจารณากลุ่มย่อยตามรายละเอียดของตัวแปร เพราะจะทำให้ได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น
1. ควรเขียนสมมติฐานหลังจากที่ได้อ่านตำรา เอกสารที่เกี่ยวข้องสมบูรณ์แล้ว เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสนับสนุนการตั้ง และเป็นแนวทางสำหรับการตั้งสมมติฐานการวิจัย
2. ต้องสามารถกำหนดตัวแปร และตัวแปรต้องสามารถนำมาพิสูจน์ได้ทางสถิติ
3. ต้องสอดรับกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
4. ควรเขียนในรูปของประโยคบอกเล่าดีกว่าประโยคคำถาม ควรมีคำที่แสดงความคาดหวังในประโยค เช่น น่าจะ เพราะสมมติฐานยังไม่เป็นความจริง ยังต้องรอการพิสูจน์จากงานวิจัยเสียก่อน
5. สมมติฐานที่เขียนขึ้นอาจมีทิศทางหรือไม่มีทิศทางก็ได้ขึ้นอยู่กับการทบทวนเอกสาร เช่น
6. ควรเขียนสมมติฐานไว้หลายๆสมมติฐาน โดยพิจารณากลุ่มย่อยตามรายละเอียดของตัวแปร เพราะจะทำให้ได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น
<<<------------------------------------------------------->>>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณา แนะนำ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ ครับ ขอบคุณ